เชื่อว่าตอนนี้หลายๆคนน่าจะนั่งไถมือถือ เสิร์ชหาประเทศที่อยากไปเที่ยว และกำลังนั่งนับวันรอว่าเมื่อไหร่โควิด-19 จะหายไปจากโลกใบนี้เสียที อดทนกันอีกนิดเดี๋ยวมันก็ซาและหายไปแล้ว ช่วงนี้ยังไปไหนไม่ได้เราก็นั่งส่องประเทศน่าเที่ยวกันไปพลางๆก่อน และเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้กับสายเที่ยวทั้งหลาย วันนี้ สามย่านมิตรทาวน์ มี 5 ประเทศน่าเที่ยวหลังโควิด-19 คลี่คลายจาก Krungsri Plearn Plearn มาฝาก
1.ตุรกี
ถือเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่มีความงามมากๆ เนื่องจากมีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่าง 2 วัฒนธรรม แถมยังอุดมไปด้วยอารยธรรมโบราณและประวัติศาสตร์อันน่าหลงใหล ที่สำคัญไปกว่านั้นตุรกีเที่ยวได้ตลอดทั้งปี และไม่ต้องใช้วีซ่า ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่เมื่อไปแล้วต้องไปถ่ายรูป คือ คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ความใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยวที่ได้จะขึ้นบอลลูนชมวิวสักครั้งในชีวิต
นอกจากนี้ ยังมี ปามุกกาเล (Pamukkale) หรือปราสาทปุยฝ้าย เป็นน้ำตกหินปูนสีขาวที่เกิดจากธารน้ำใต้ดินที่อุดมไปด้วยแร่หินปูนจับตัวแข็งเป็นริ้ว แอ่ง ชั้น ลดหลั่นไปตามภูมิประเทศแสนงดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มิดยาท (Midyat) เมืองเก่าแก่บนพื้นที่เมโสโปเตเมียตอนบน ที่คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของยุคเก่าอย่างใกล้ชิดเหมือนหลุดไปในยุคโบราณ แต่ถ้าจะให้ฟินสุด คุณต้องไม่พลาดที่จะพักในโรงแรมถ้ำที่มีให้เลือกหลากหลายราคาในคัปปาโดเกีย
2.ออสเตรเลีย
เมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปท่องเที่ยวมากที่สุดต้องยกให้ 2 เมืองนี้ ซิดนีย์และเมลเบิร์น โดยในส่วนของเมืองซิดนีย์ ต้องไม่พลาดที่จะไป ซิดนีย์ โอเปร่า เฮาส์ (Sydney Opera House) ซิกเนเจอร์ของซิดนีย์เลยก็ว่าได้ นอกจากวิวงามจับตาแล้วยังมีร้านอาหารหลายแห่งให้บริการ สะพานฮาร์เบอร์ (Harbour Bridge) แลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งรวมทั้งเป็นจุดชมวิวยอดเยี่ยม และถ้าไม่ได้มาเยี่ยมชมเจ้าหมีโคอาลา แสดงว่าคุณมาไม่ถึงออสเตรเลีย ที่สวนสัตว์ทารองก้า (Taronga Zoo) ยังมีสัตว์กว่า 4,000 ตัว ให้เยี่ยมชม ส่วนคอศิลปะต้องมาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ นิวเซาท์เวลส์ (Art Gallery of New South Wales) ที่เก่าแก่ตั้งแต่ ค.ศ. 1871 แถมยังเข้าชมฟรีด้วย
ส่วนเมืองเมลเบิร์น ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อัดแน่นไปด้วยธรรมชาติ ประวัติศาสตร์และหาดทราย ไฮไลท์คือ เกรทโอเชี่ยนโร๊ดและเสาหินทเวลฟ์ อะพอสเซิล (Great Ocean Road and Twelve Apostles) ที่นักท่องเที่ยวต้องมา ใครที่อยากย้อนประวัติศาสตร์ต้องมาที่เหมืองทอง Sovereign Hill Ballarat เหมืองขุดทองในอดีต แล้วนั่งรถไฟไอน้ำ Puffing Billy รถไฟโบราณที่ใช้ขนถ่านหินตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อีกแลนด์มาร์คที่ต้องไปเช็คอินคือ Bathing Box ที่หาดไบรท์ตัน เคบินเปลี่ยนเสื้อผ้าริมหาดสีสันแปลกตากว่า 82 หลัง ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะเช็คอิน หรือจะไปตามหาเพนกวินจิ๋วที่เกาะฟิลลิป (Penguin Parade)
3.อังกฤษ
เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ชื่อว่าอยู่ในลิสต์ของใครหลายๆ คน ซึ่งในส่วนของสถานที่ที่บรรดานักท่องเที่ยวต่างปักหมุดว่าต้องไป คือ หอคอยแห่งกรุงลอนดอน (Tower of London) หอคอยเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1078 ตั้งแต่สมัยวิลเลี่ยมผู้พิชิต รวบรวมไว้ทั้งปราสาท ราชวัง คุก คลังสมบัติ ที่สำคัญว่ากันว่าผีดุ อีกหนึ่งสถานที่ประวัติศาสตร์ที่น่าไปคือ เมืองบาธ (Bath) โรงอาบน้ำกลางแจ้งแบบโรมันอายุกว่า 2,000 ปี ที่ว่ากันว่าคือสปาแห่งแรกของโลก
ส่วน สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ก็ไม่ควรจะพลาดด้วยประการทั้งปวง ขณะที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ (British Museum) ได้เก็บรวบรวมผลงานทางประวัติศาสตร์ที่หาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว อย่างโลงศพคลีโอพัตรา ต่อด้วยสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อย่าง โบสถ์ Canterbury สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 597 งดงามและรายล้อมไปด้วยร้านอาหารมากมาย ไม่มีใครไม่รู้จักหอนาฬิกา Big Ben เป็นนาฬิกาบอกเวลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ใครที่อยากได้กลิ่นอายความเป็นอังกฤษที่แท้จริง ต้องไม่พลาดเมืองเล็ก ๆ ใกล้ลอนดอน Cotswolds โรแมนติกสุด ๆ ขอบอกเลย แต่อย่างไรก็ห้ามลืมไปชักภาพคู่กับตู้โทรศัพท์สีแดงซิกเนเจอร์ของประเทศอังกฤษด้วยนะ
4.แคนาดา
อีกหนึ่งประเทศที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด เนื่องจากภูมิประเทศอุดมไปด้วยธรรมชาติงดงาม และอากาศเย็นสบายตลอดปี ซึ่งเมื่อไปถึงแล้วสิ่งที่คุณต้องไม่พลาด คือ Rocky Mountains ที่ทอดยาวไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา มีเส้นทางขับรถชมวิวที่สวยมาก ขณะที่อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Rocky Mountains ก็เป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมแวะ Banff Avenue เมืองเล็กๆ แต่มีของที่ระลึกให้เลือกชมมาก ใครที่ชอบเทพนิยายต้องไม่พลาด Lake Louise ทะเลสาปที่งดงามราวกับหลงเข้าไปดินแดนแห่งเทพนิยาย ส่วน Columbia Icefield ลานแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ ส่วนใครที่ชอบเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ก็ควรค่าให้เที่ยวชม เพราะเต็มไปอาหารน่าชิมริมทะเล หรือจะไปเมืองท่าเก่าแก่ อย่าง วิกตอเรีย (Victoria) ก็สวยงามไม่แพ้กัน และอีกหนึ่งสถานที่ต้องห้ามพลาดเลย คือ น้ำตกไนแอการา (Niagara Falls) น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าไม่ได้ไปเท่ากับคุณมาไม่ถึง
5.เกาหลีใต้
ถือเป็นประเทศยอดฮิตอันดับต้นๆ ของคนไทยที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว เนื่องจากไม่ต้องใช้วีซ่า เลยทำให้ใครหลายๆ คนไปเที่ยวบ่อยมาก เพราะเกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีฮิปเพลสเกิดขึ้นใหม่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งศิลปะคูลๆ บิวตี้ไอเทมแบรนด์ดัง ศูนย์รวมของเหล่าเคป็อป และอีกมากมาย แถมยังเที่ยวได้ตลอดปี แต่ช่วงที่นิยมสุด คือ ฤดูหนาว
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่นิยม คือ Inwangsan Mountain เพราะที่นี่ธรรมชาติวิวหลักล้านสุดอลังการของโซลเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางเดินป่าสำหรับนักเดินทาง เช่นเดียวกับ Starfield Library ซิกเนเจอร์ของหนอนหนังสือ และที่พลาดไม่ได้ของติ่งเกาหลี นั่นก็คือ SMTOWN Coex Artium และ Anyang Art Park สวนศิลปะสุดฮิปที่สายอาร์ตต้องไปเดินชมและถ่ายรูปสวยๆ
เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ก็เตรียมแลกเงินกันดีกว่า เรามีทิปส์เล็กน้อยมาฝาก ก่อนที่จะแลกเงินควรเช็กอัตราแลกเปลี่ยนเงินจากหลายๆ ที่ก่อน ว่าที่ไหนให้อัตราแลกเปลี่ยนดีที่สุด เมื่อได้เรทแลกเงินที่โดนใจแล้ว หากคุณยังไม่ได้เดินทางในช่วงนี้ แต่มีแพลนที่จะไปแน่นอนแล้วละก็ ควรที่จะแลกเงินเก็บไว้เลย เพราะเมื่อถึงเวลาที่คุณต้องเดินทางอัตราแลกเปลี่ยนอาจปรับตัวขึ้นก็ได้
อีกหนึ่งทิปส์ที่น่าสนใจ คือ ใช้เทคนิคแลกเงินสกุลอื่นก่อนแล้วค่อยแลกสกุลเงินประเทศที่เราต้องการไปเที่ยว เพราะคุณจะได้เรทเงินที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น แลกเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนแล้วค่อยแลกเป็นเงินวอน นอกจากนี้ การใช้บัตรเครดิตในหลายประเทศก็ให้เรทราคาดีกว่าการชำระด้วยเงินสดอีกด้วยนะ แต่อย่างไรก็ดี ควรตรวจสอบอีกครั้งว่าใช้บัตรค่ายไหน คุ้มค่าสุด